อัลลิซินในกระเทียมกับฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ลดการอักเสบ และต้านไวรัส

กระเทียม เครื่องเทศและสมุนไพรคู่ครัวไทย ที่ไม่ใช่แค่เพิ่มรสชาติอาหาร แต่ยังอุดมไปด้วยสารสำคัญมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อัลลิซิน (Allicin) สารประกอบกำมะถันอินทรีย์ที่เป็นหัวใจหลักของสรรพคุณทางยา บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกทำความรู้จักกับอัลลิซิน ตั้งแต่กระบวนการเกิดในกระเทียม ไปจนถึงการเปิดเผยคุณสมบัติอันน่าทึ่ง 3 ประการ ได้แก่ ฤทธิ์ฆ่าเชื้อหลากหลายชนิด ทั้งแบคทีเรีย เชื้อรา และปรสิต รวมถึงฤทธิ์ลดการอักเสบที่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด และฤทธิ์ต้านไวรัสที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เราจะสำรวจหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่รองรับคุณสมบัติเหล่านี้ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการบริโภคกระเทียมให้ได้ประโยชน์สูงสุด และข้อควรระวังต่างๆ เพื่อให้คุณเข้าใจและนำพลังของอัลลิซินไปใช้ดูแลสุขภาพได้อย่างชาญฉลาด

Table of Contents

ประวัติและชื่อเสียงของกระเทียม

กระเทียม (Allium sativum) ไม่ใช่พืชที่เพิ่งค้นพบสรรพคุณเมื่อไม่นานมานี้ แต่เป็นสมุนไพรและเครื่องเทศที่ถูกใช้มาอย่างยาวนานกว่าพันปีในหลายอารยธรรมทั่วโลก ตั้งแต่ชาวอียิปต์โบราณที่ใช้เสริมกำลังให้คนงานสร้างพีระมิด ชาวกรีกและโรมันที่นำไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ไปจนถึงการเป็นส่วนหนึ่งของตำรับยาแผนโบราณในจีน อินเดีย และยุโรป กระเทียมได้รับการยกย่องให้เป็น “ยาครอบจักรวาล” ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลายเหลือเชื่อ

แนะนำอัลลิซิน (Allicin)

หัวใจสำคัญที่ทำให้กระเทียมมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะยา คือสารประกอบกำมะถันอินทรีย์ที่มีกลิ่นฉุนเฉพาะตัว นั่นก็คือ อัลลิซิน (Allicin) นั่นเองครับ อัลลิซินเป็นสารออกฤทธิ์หลักที่ได้รับการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวาง และพบว่าเป็นต้นตอของประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฤทธิ์ในการต่อสู้กับเชื้อโรค ลดการอักเสบ หรือแม้แต่การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย

การก่อตัวและการทำงานของอัลลิซิน (Allicin Formation and Mechanism)

ความน่าสนใจอย่างหนึ่งของอัลลิซินคือ มันไม่ได้มีอยู่ในกระเทียมสดๆ โดยตรงตั้งแต่แรกครับ แต่กระบวนการที่ซับซ้อนเล็กน้อยนี่แหละที่ทำให้เราได้สัมผัสกับพลังที่แท้จริงของมัน

กระบวนการเกิดอัลลิซิน

ในกระเทียมที่ยังไม่ถูกรบกวน จะมีสารตั้งต้นที่ชื่อว่า “อัลลิอิน” (Alliin) อยู่ ซึ่งเป็นสารประกอบที่ไม่ใช่เอนไซม์ และเป็นสารประกอบที่เสถียร แต่เมื่อใดก็ตามที่กระเทียมถูก ทุบ สับ หั่น หรือแม้กระทั่งเคี้ยว เซลล์ของกระเทียมจะแตกออก และปล่อยเอนไซม์สำคัญที่ชื่อว่า “อัลลิอิเนส” (Alliinase) ออกมาครับ

  • เมื่ออัลลิอินและอัลลิอิเนสมาเจอกัน อัลลิอิเนสจะเข้าทำปฏิกิริยากับอัลลิอินทันที
  • กระบวนการนี้จะเปลี่ยนอัลลิอินให้กลายเป็น อัลลิซิน (Allicin) ซึ่งเป็นสารประกอบที่ไม่เสถียรและมีกลิ่นฉุนที่เราคุ้นเคย
  • นี่คือเหตุผลว่าทำไมการทุบหรือสับกระเทียมก่อนนำไปใช้เล็กน้อย จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมันคือการ “ปลุก” พลังของอัลลิซินให้ตื่นขึ้นมาทำงานนั่นเอง

กลไกการออกฤทธิ์โดยรวมของอัลลิซิน

เมื่ออัลลิซินก่อตัวขึ้นแล้ว มันจะออกฤทธิ์ในระดับโมเลกุลได้อย่างหลากหลาย โดยหลักการสำคัญคือ อัลลิซินมีความสามารถในการทำปฏิกิริยากับ กลุ่มซัลฟ์ไฮดริล (-SH) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโปรตีนและเอนไซม์ต่างๆ ในเซลล์ของเชื้อโรคหรือแม้กระทั่งในเซลล์ร่างกายเราเอง

  • การทำปฏิกิริยานี้จะเข้าไปรบกวนโครงสร้างและการทำงานของโปรตีนและเอนไซม์เหล่านั้น
  • ทำให้กระบวนการเมแทบอลิซึมของเซลล์ผิดปกติ และนำไปสู่การยับยั้งการเจริญเติบโตหรือการตายของเซลล์ในที่สุด
  • กลไกนี้เป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้อัลลิซินมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อ ลดการอักเสบ และต้านไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

ฤทธิ์ฆ่าเชื้อของอัลลิซิน (Antimicrobial Properties of Allicin)

หนึ่งในคุณสมบัติที่โดดเด่นและได้รับการศึกษามากที่สุดของอัลลิซิน คือความสามารถในการเป็นสารฆ่าเชื้อตามธรรมชาติที่ครอบคลุมหลากหลายชนิด ราวกับเป็น “ยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ” เลยทีเดียว

ฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย (Antibacterial)

อัลลิซินแสดงฤทธิ์ต้านแบคทีเรียที่น่าทึ่ง ทั้งชนิดแกรมบวกและแกรมลบ ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรคติดเชื้อต่างๆ มากมาย

  • กลไกการทำงาน:
    • ทำลายผนังเซลล์ของแบคทีเรีย: ทำให้อัลลิซินและสารอื่นๆ แทรกซึมเข้าไปในเซลล์ได้ง่ายขึ้น
    • ยับยั้งการสังเคราะห์โปรตีนและดีเอ็นเอ: ทำให้แบคทีเรียไม่สามารถสร้างส่วนประกอบที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและการสืบพันธุ์ได้
    • รบกวนเมแทบอลิซึมของแบคทีเรีย: ขัดขวางกระบวนการสร้างพลังงานและการทำงานของเอนไซม์สำคัญภายในเซลล์แบคทีเรีย
  • ชนิดของแบคทีเรียที่อัลลิซินมีฤทธิ์ต่อต้าน: มีงานวิจัยพบว่าอัลลิซินมีฤทธิ์ต่อต้านแบคทีเรียหลายชนิด เช่น Staphylococcus aureus (ที่ก่อให้เกิดหนอง ฝี), Escherichia coli (E. coli, ก่อโรคท้องร่วง), Salmonella (ก่อโรคอาหารเป็นพิษ), และที่น่าสนใจคือ Helicobacter pylori (แบคทีเรียที่สัมพันธ์กับแผลในกระเพาะอาหาร)
  • ศักยภาพในการเป็นทางเลือกในการต่อสู้กับเชื้อดื้อยา: ในยุคที่เชื้อดื้อยาเป็นปัญหาใหญ่ อัลลิซินกำลังถูกจับตามองในฐานะสารธรรมชาติที่มีศักยภาพในการเป็นตัวช่วยต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียที่เริ่มดื้อต่อยาปฏิชีวนะแผนปัจจุบัน

ฤทธิ์ต้านเชื้อรา (Antifungal)

ไม่เพียงแค่แบคทีเรีย แต่อัลลิซินยังสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ก่อโรคได้อีกด้วย

  • กลไกการทำงาน: อัลลิซินจะเข้าไปรบกวนโครงสร้างและหน้าที่ของเยื่อหุ้มเซลล์ของเชื้อรา ทำให้เซลล์เชื้อราไม่สามารถทำงานได้ตามปกติและตายลง
  • ชนิดของเชื้อราที่อัลลิซินมีฤทธิ์ต่อต้าน: ตัวอย่างเช่น Candida albicans (เชื้อราที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อในช่องปาก ช่องคลอด หรือทางเดินอาหาร) และ Aspergillus (เชื้อราที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ)

ฤทธิ์ต้านปรสิต (Antiparasitic)

แม้จะมีการศึกษาน้อยกว่า แต่ก็มีหลักฐานบ่งชี้ว่าอัลลิซินอาจมีบทบาทในการต่อสู้กับปรสิตบางชนิดได้

  • ตัวอย่างปรสิตที่อัลลิซินอาจมีผล: เช่น Giardia lamblia (ก่อให้เกิดโรคท้องร่วงจากน้ำดื่มหรืออาหารปนเปื้อน) และ Entamoeba histolytica (ก่อให้เกิดโรคบิดมีตัว)

ฤทธิ์ลดการอักเสบของอัลลิซิน

นอกเหนือจากพลังในการฆ่าเชื้อ อัลลิซินยังเป็นเหมือนผู้ช่วยมือฉมังในการบรรเทาอาการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญต่อสุขภาพของเรา

กลไกการลดการอักเสบ

การอักเสบเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการตอบสนองต่อการบาดเจ็บหรือการติดเชื้อ แต่การอักเสบเรื้อรังอาจเป็นต้นเหตุของโรคต่างๆ มากมาย อัลลิซินมีบทบาทในการลดการอักเสบผ่านหลายกลไก:

  • การยับยั้งเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ: อัลลิซินสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์สำคัญที่กระตุ้นการอักเสบ เช่น COX-2 (Cyclooxygenase-2) และ iNOS (Inducible Nitric Oxide Synthase) ซึ่งเอนไซม์เหล่านี้มักพบในกระบวนการอักเสบ
  • การลดการสร้างสารสื่ออักเสบ (Pro-inflammatory cytokines): อัลลิซินช่วยลดการผลิตสารที่ส่งสัญญาณการอักเสบภายในร่างกาย เช่น TNF-α (Tumor Necrosis Factor-alpha) และ IL-6 (Interleukin-6) ซึ่งสารเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นและรักษาสภาวะการอักเสบ
  • การปรับสมดุลการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน: อัลลิซินช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างสมดุล ไม่เกิดการอักเสบที่มากเกินไปจนเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อของร่างกาย

ผลต่อภาวะอักเสบเรื้อรัง

ด้วยกลไกการลดการอักเสบที่กล่าวมา อัลลิซินจึงมีศักยภาพในการเป็นประโยชน์ในภาวะที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบเรื้อรัง เช่น:

  • โรคข้ออักเสบ: อาจช่วยบรรเทาอาการปวดและอักเสบตามข้อ
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด: การอักเสบในหลอดเลือดเป็นปัจจัยสำคัญในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด การที่อัลลิซินช่วยลดการอักเสบในส่วนนี้จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการป้องกันและดูแลสุขภาพหัวใจ

ฤทธิ์ต้านไวรัสของอัลลิซิน

ในยุคสมัยที่เราต้องเผชิญกับไวรัสมากมาย การมีภูมิคุ้มกันที่ดีและการหาสารธรรมชาติที่มีฤทธิ์ต้านไวรัสจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ อัลลิซินก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในด้านนี้เช่นกันครับ

กลไกการต้านไวรัส

แม้จะยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์อย่างกว้างขวาง แต่อัลลิซินก็แสดงกลไกการต้านไวรัสที่หลากหลายในงานวิจัยระดับห้องปฏิบัติการ:

  • การยับยั้งการจำลองตัวเองของไวรัส (Viral replication): อัลลิซินอาจเข้าไปขัดขวางกระบวนการที่ไวรัสใช้ในการเพิ่มจำนวนในเซลล์เจ้าบ้าน
  • การเสริมสร้างการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในการต่อสู้กับไวรัส: อัลลิซินอาจช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันบางชนิดให้ทำงานได้ดีขึ้นในการตรวจจับและกำจัดไวรัส
  • การยับยั้งการเข้าสู่เซลล์ของไวรัส: มีความเป็นไปได้ที่อัลลิซินจะเข้าไปขัดขวางการที่ไวรัสจะจับกับเซลล์และเข้าสู่เซลล์เพื่อก่อโรค

ตัวอย่างไวรัสที่อัลลิซินอาจมีฤทธิ์ต่อต้าน

งานวิจัยในห้องปฏิบัติการและในสัตว์ทดลองพบว่าอัลลิซินอาจมีฤทธิ์ต่อต้านไวรัสหลายชนิด:

  • ไวรัสไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus)
  • ไวรัสหวัดทั่วไป (Rhinovirus)
  • ไวรัสเริม (Herpes simplex virus – HSV)

**ข้อควรเน้นย้ำ:** การศึกษาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยเบื้องต้นที่ทำในห้องปฏิบัติการ (in vitro) หรือในสัตว์ทดลอง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้อาจไม่สามารถนำไปใช้สรุปผลในมนุษย์ได้โดยตรง จำเป็นต้องมีการวิจัยทางคลินิกในมนุษย์เพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยครับ

ศักยภาพในการศึกษาเพิ่มเติม

ด้วยคุณสมบัติที่น่าสนใจเหล่านี้ อัลลิซินจึงเป็นสารธรรมชาติที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงให้ความสนใจและศึกษาค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการพัฒนาสารต้านไวรัสใหม่ๆ และการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของอัลลิซินและกระเทียม

นอกเหนือจากคุณสมบัติหลัก 3 ประการที่กล่าวมา อัลลิซินและสารประกอบอื่นๆ ในกระเทียมยังให้ประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมหัศจรรย์ของพืชชนิดนี้

ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ

อัลลิซินและสารประกอบกำมะถันอื่นๆ ในกระเทียมมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความเสื่อมของเซลล์ โรคเรื้อรัง และการแก่ก่อนวัย การลดอนุมูลอิสระจึงช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวมและลดความเสี่ยงของโรคต่างๆ ได้

ประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด

กระเทียมเป็นที่รู้จักกันดีถึงประโยชน์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอัลลิซินมีบทบาทสำคัญในหลายมิติ:

  • ลดความดันโลหิต: อาจช่วยผ่อนคลายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
  • ลดคอเลสเตอรอล: ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
  • ป้องกันการเกิดลิ่มเลือด: มีฤทธิ์ในการต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจขาดเลือดและอัมพฤกษ์อัมพาตได้

ฤทธิ์ต้านมะเร็ง

งานวิจัยเบื้องต้นบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าอัลลิซินและสารประกอบในกระเทียมอาจมีศักยภาพในการต้านมะเร็งได้ โดยมีกลไกที่เป็นไปได้หลายอย่าง เช่น:

  • การเหนี่ยวนำให้เซลล์มะเร็งตาย (Apoptosis): กระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเข้าสู่กระบวนการตายตามธรรมชาติ
  • ยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง: ชะลอหรือยับยั้งการเติบโตและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
  • ปกป้องดีเอ็นเอจากความเสียหาย: ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการกลายพันธุ์และก่อให้เกิดมะเร็ง

**ข้อควรเน้นย้ำ:** แม้ผลการวิจัยจะน่าสนใจ แต่ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยในห้องปฏิบัติการหรือในสัตว์ทดลอง ซึ่งยังต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมในมนุษย์อย่างจริงจังเพื่อยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการป้องกันและรักษามะเร็งครับ

ข้อควรพิจารณาและการนำไปใช้

เมื่อรู้ถึงประโยชน์อันน่าทึ่งของอัลลิซินแล้ว เราจะนำกระเทียมมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร และมีข้อควรระวังอะไรบ้าง มาดูกันครับ

การบริโภคกระเทียมเพื่อประโยชน์สูงสุด

เคล็ดลับสำคัญในการดึงพลังของอัลลิซินจากกระเทียม คือกระบวนการเตรียมและวิธีปรุง:

  • การทุบ/สับกระเทียมก่อนบริโภค: อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น การทุบ สับ หรือบดกระเทียมจะช่วยกระตุ้นเอนไซม์อัลลิอิเนสให้เปลี่ยนอัลลิอินเป็นอัลลิซินได้เต็มที่ ควรทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ก่อนนำไปปรุงอาหาร เพื่อให้อัลลิซินก่อตัวได้สมบูรณ์
  • ความร้อนและผลกระทบต่ออัลลิซิน: อัลลิซินเป็นสารที่ไม่ทนความร้อน เอนไซม์อัลลิอิเนสจะถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อนสูง การปรุงอาหารด้วยความร้อนเป็นเวลานานอาจลดประสิทธิภาพของอัลลิซินลงได้ การรับประทานกระเทียมสดจึงให้ประโยชน์สูงสุด หากจะปรุง ควรใส่กระเทียมในขั้นตอนสุดท้าย หรือปรุงด้วยความร้อนที่ไม่สูงนักและใช้เวลาสั้นๆ
  • ปริมาณที่แนะนำ: โดยทั่วไป การบริโภคกระเทียมสดประมาณ 1-2 กลีบ (ขนาดกลาง) ต่อวัน หรือประมาณ 3-6 กรัม ถือเป็นปริมาณที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ต่อสุขภาพ

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากกระเทียม

สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกบริโภคกระเทียมสด หรือไม่ชอบกลิ่นฉุน ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากกระเทียมมากมายในท้องตลาด แต่ก็มีข้อดีข้อเสียที่ควรพิจารณา:

  • ข้อดี: สะดวกในการบริโภค ได้รับปริมาณสารสำคัญที่สม่ำเสมอ ลดปัญหากลิ่นปาก และบางชนิดมีการเคลือบเม็ด (enteric coating) เพื่อให้ผ่านกรดในกระเพาะอาหารไปออกฤทธิ์ที่ลำไส้เล็ก ทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุด
  • ข้อเสีย: คุณภาพของผลิตภัณฑ์แตกต่างกันไปตามผู้ผลิต บางชนิดอาจไม่มีอัลลิซิน หรือมีปริมาณน้อย ไม่ได้มาตรฐาน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุปริมาณอัลลิซินหรือสารประกอบอัลลิซินได้อย่างชัดเจน และมาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือ

ข้อควรระวังและผลข้างเคียง

แม้กระเทียมจะเป็นพืชที่ปลอดภัยสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่ก็มีข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้:

  • กลิ่นปากและกลิ่นตัว: เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด เนื่องจากสารประกอบกำมะถันในกระเทียม
  • ผลต่อยาละลายลิ่มเลือด: กระเทียมมีฤทธิ์ต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด หากรับประทานร่วมกับยาละลายลิ่มเลือด เช่น วาร์ฟาริน (Warfarin) อาจเพิ่มความเสี่ยงของการมีเลือดออกง่าย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ
  • อาการแพ้: ในบางรายอาจมีอาการแพ้ เช่น ผื่นคัน ผื่นลมพิษ หรือหายใจลำบาก
  • ปัญหาในระบบทางเดินอาหาร: การบริโภคกระเทียมสดในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอก ท้องอืด หรือปวดท้องได้ในบางคน
  • การตั้งครรภ์และให้นมบุตร: ควรบริโภคในปริมาณปกติที่ใช้ประกอบอาหาร หลีกเลี่ยงการบริโภคในปริมาณมากแบบยารักษาโรค และควรปรึกษาแพทย์

โปรดทราบ: ข้อมูลที่นำเสนอในบทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และข้อมูลทั่วไปเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเพื่อวินิจฉัย รักษา ป้องกัน หรือแนะนำการรักษาโรคใดๆ และไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีใบอนุญาตก่อนที่จะเริ่มต้น หยุด หรือเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคอาหารเสริม หรือการรักษาใดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีโรคประจำตัว กำลังตั้งครรภ์ หรือกำลังใช้ยาอื่นๆ

footer_button_brown_point
footer_button_brown_buy
footer_button_brown_consult