น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็น คือน้ำมันที่ได้จากการสกัดเนื้ออะโวคาโดโดยไม่ผ่านความร้อนสูง ทำให้คงคุณค่าทางอาหารและสารสำคัญต่างๆ ไว้ได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นกรดไขมันดี วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลากหลายด้าน อะโวคาโด…ผลไม้สีเขียวเนื้อเนียนที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามในฐานะ “Superfood” ด้วยรสชาติที่อร่อยเป็นเอกลักษณ์และคุณประโยชน์มากมาย ทำให้ใครหลายคนหลงรักและนำไปประกอบอาหารหลากหลายเมนู แต่คุณรู้หรือไม่ว่า นอกจากเนื้ออะโวคาโดสดๆ แล้ว ยังมีอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากอะโวคาโดซึ่งอัดแน่นไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการไม่แพ้กัน นั่นก็คือ “น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็น”
น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็นคืออะไร?
น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็น (Cold-Pressed Avocado Oil) คือน้ำมันที่ได้จากการสกัดจากเนื้ออะโวคาโดโดยใช้วิธีการบีบอัด (Pressing) โดยไม่ผ่านความร้อนสูง หรือใช้สารเคมีใดๆ ในกระบวนการสกัด ซึ่งคล้ายคลึงกับการผลิตน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (Extra Virgin Olive Oil) วิธีการนี้จะช่วยรักษาคุณค่าทางโภชนาการและสารสำคัญต่างๆ ที่มีอยู่ในอะโวคาโดไว้ได้อย่างครบถ้วน
กระบวนการผลิตน้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็นโดยทั่วไปมีขั้นตอนดังนี้:
- การเตรียมวัตถุดิบ: เริ่มต้นด้วยการคัดเลือกอะโวคาโดที่สุกพอดี จากนั้นนำมาปอกเปลือกและเอาเมล็ดออก
- การบด: นำเนื้ออะโวคาโดที่ได้มาบดละเอียด โดยควบคุมอุณหภูมิให้ไม่เกิน 45-50 องศาเซลเซียส เพื่อป้องกันการสูญเสียสารอาหาร
- การสกัด: นำเนื้ออะโวคาโดบดที่ได้ไปเข้าเครื่องสกัด (Centrifuge) เพื่อแยกน้ำมันออกจากเนื้อและน้ำ
- การกรอง: กรองน้ำมันที่ได้เพื่อให้ได้น้ำมันที่ใสและบริสุทธิ์
ความแตกต่างของน้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็น
น้ำมันอะโวคาโดในท้องตลาดมีอยู่ 2 ประเภทหลักๆ คือ น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็น (Unrefined) และน้ำมันอะโวคาโดที่ผ่านกรรมวิธี (Refined) ซึ่งมีความแตกต่างกันในด้านกระบวนการผลิต คุณค่าทางโภชนาการ และราคา ดังนี้:
-
น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็น (Unrefined):
- กระบวนการผลิต: สกัดด้วยการบีบเย็น (Cold-Pressed) โดยไม่ใช้ความร้อนสูงหรือสารเคมีใดๆ
- คุณค่าทางโภชนาการ: อุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ อย่างครบถ้วน
- สีและกลิ่น: มีสีเขียวเข้มและมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของอะโวคาโด
- ราคา: ราคาสูงกว่าน้ำมันอะโวคาโดที่ผ่านกรรมวิธี
-
น้ำมันอะโวคาโดที่ผ่านกรรมวิธี (Refined):
- กระบวนการผลิต: ใช้ความร้อนสูงและ/หรือสารเคมี (เช่น เฮกเซน) ในการสกัดน้ำมัน
- คุณค่าทางโภชนาการ: สารอาหาร วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ เหลือน้อยกว่าน้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็น
- สีและกลิ่น: มีสีเหลืองอ่อนและไม่มีกลิ่น
ราคา: ราคาถูกกว่าน้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็น
ส่วนประกอบและคุณค่าทางโภชนาการของน้ำมันอะโวคาโด
น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็นอุดมไปด้วยสารอาหารและไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เป็นที่นิยมในฐานะผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ โดยมีส่วนประกอบและคุณค่าทางโภชนาการที่โดดเด่นดังนี้:
กรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (Monounsaturated Fats) สูง
น้ำมันอะโวคาโดมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวเป็นส่วนประกอบหลัก โดยเฉพาะกรดโอเลอิก (Oleic Acid) ซึ่งเป็นกรดไขมันโอเมก้า 9 (Omega-9) ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด
สารต้านอนุมูลอิสระ
น้ำมันอะโวคาโดเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญหลายชนิด ได้แก่:
- โทโคฟีรอล (Tocopherols): เป็นวิตามินอี (Vitamin E) รูปแบบหนึ่งที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
- คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll): เป็นสารสีเขียวที่พบในพืช มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระและช่วยลดการอักเสบ
- แคโรทีนอยด์ (Carotenoids): โดยเฉพาะลูทีน (Lutein) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพดวงตา
Phytosterols
น้ำมันอะโวคาโดมีสาร Phytosterols ซึ่งมีโครงสร้างคล้ายกับคอเลสเตอรอลในร่างกาย ช่วยลดการดูดซึมคอเลสเตอรอลจากอาหาร
วิตามินและแร่ธาตุ
แม้ว่าน้ำมันอะโวคาโดจะไม่ใช่วิตามินและแร่ธาตุเข้มข้นเท่ากับเนื้ออะโวคาโดสด แต่ก็ยังมีวิตามินและแร่ธาตุบางชนิดในปริมาณที่น่าสนใจ เช่น วิตามินเค (Vitamin K) และโพแทสเซียม (Potassium)
สรรพคุณและประโยชน์ต่อสุขภาพ
น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็นมีสรรพคุณและประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนประกอบทางโภชนาการที่อุดมสมบูรณ์ ดังนี้:

บำรุงสายตา
- ลูทีนและซีแซนทีน: น้ำมันอะโวคาโดอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปกป้องดวงตา
- ลดความเสี่ยงของโรคตา: การบริโภคเป็นประจำอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) และต้อกระจก
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้ดวงตา: สารอาหารในน้ำมันอะโวคาโดช่วยบำรุงเซลล์ต่างๆ ในดวงตา ทำให้ตาชุ่มชื้นและสุขภาพดี
บำรุงหัวใจ
- กรดโอเลอิก (โอเมก้า 9): ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดี (LDL) และเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลดี (HDL)
- ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ: ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวช่วยลดการอักเสบและความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ควบคุมความดันโลหิต: โพแทสเซียมในน้ำมันอะโวคาโดช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
ต้านอนุมูลอิสระ
- วิตามินอี: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง ช่วยปกป้องเซลล์จากความเสียหาย
- ลดความเสี่ยงโรคเรื้อรัง: การต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น มะเร็ง และโรคหัวใจ
- ชะลอวัย: สารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของเซลล์ ทำให้ดูอ่อนเยาว์
ช่วยให้ร่างกายดูดซึมอาหารได้ดีขึ้น
- เพิ่มการดูดซึมวิตามินที่ละลายในไขมัน: ช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามิน A, D, E, และ K ได้ดีขึ้น
- เพิ่มการดูดซึมแคโรทีนอยด์: ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารกลุ่มแคโรทีนอยด์ เช่น เบต้าแคโรทีน และไลโคปีนได้ดีขึ้น
- ส่งเสริมการดูดซึมสารอาหารอื่นๆ: ช่วยให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากอาหารที่รับประทานได้มากขึ้น
อาจป้องกันสมอง
- กรดโอเลอิก: อาจช่วยปรับปรุงความจำและการรับรู้
- ต้านการอักเสบ: คุณสมบัติต้านการอักเสบอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อม
- ส่งเสริมการไหลเวียนเลือด: ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น
ประโยชน์อื่นๆ
- บำรุงผิวพรรณ: ความชุ่มชื้นและวิตามินอีช่วยบำรุงผิวให้เนียนนุ่ม ชะลอริ้วรอย
- ส่งเสริมสุขภาพเส้นผม: บำรุงเส้นผมให้แข็งแรง มีน้ำหนัก และเงางาม
- ลดการอักเสบ: คุณสมบัติต้านการอักเสบช่วยบรรเทาอาการของโรคข้ออักเสบ
วิธีการใช้น้ำมันอะโวคาโด
น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็นเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานได้หลากหลาย สามารถนำไปใช้ได้ทั้งในการรับประทานและใช้ภายนอก เพื่อบำรุงสุขภาพและความงาม

การรับประทาน
- ปริมาณที่แนะนำ: โดยทั่วไป แนะนำให้รับประทานน้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็นประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ (15-30 มิลลิลิตร) ต่อวัน
- สำหรับผู้ใหญ่: 1-2 ช้อนโต๊ะต่อวัน
- สำหรับเด็ก: ปริมาณควรน้อยกว่าผู้ใหญ่ ขึ้นอยู่กับอายุและน้ำหนักตัว ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการก่อน
- วิธีการรับประทาน:
- รับประทานโดยตรง: สามารถรับประทานน้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็นโดยตรง โดยอาจจะทานเปล่าๆ หรือผสมกับน้ำผลไม้
- ใช้ปรุงอาหาร: ใช้น้ำมันอะโวคาโดเป็นส่วนผสมหลักในน้ำสลัด เพื่อเพิ่มรสชาติและความหอมมัน
- ช่วงเวลาที่แนะนำ: แนะนำให้รับประทานน้ำมันอะโวคาโดก่อนอาหาร เพื่อช่วยในการดูดซึมสารอาหารได้ดียิ่งขึ้น
ใช้การปรุงอาหาร:
- จุดเกิดควันสูง: น้ำมันอะโวคาโดมีจุดเกิดควันสูงถึง 271 องศาเซลเซียส ทำให้เหมาะสำหรับการปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูง เช่น การทอด การผัด และการย่าง โดยไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง
- รสชาติที่เป็นกลาง: รสชาติอ่อนๆ ของน้ำมันอะโวคาโดจะไม่กลบกลิ่นและรสชาติของอาหาร
ใช้เป็นส่วนผสมในสลัดหรือน้ำสลัด:
- เพิ่มความอร่อย: น้ำมันอะโวคาโดช่วยเพิ่มความอร่อยและความหอมมันให้กับสลัด
- เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ: ช่วยเพิ่มการดูดซึมวิตามินและสารอาหารที่ละลายในไขมันจากผัก
ใช้บำรุงผิว
- ให้ความชุ่มชื้น: ทาน้ำมันอะโวคาโดบนผิวหลังอาบน้ำ เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม
- ลดริ้วรอย: นวดน้ำมันอะโวคาโดบนผิวหน้าเป็นประจำ เพื่อลดริ้วรอยและชะลอความแก่
- บรรเทาอาการผิวแห้ง: ทาน้ำมันอะโวคาโดบนผิวที่แห้งกร้าน หรือมีอาการคัน เพื่อบรรเทาอาการและให้ความชุ่มชื้น
ใช้บำรุงเส้นผม
- ให้ความชุ่มชื้น: ชโลมน้ำมันอะโวคาโดบนเส้นผมที่แห้งเสีย ทิ้งไว้ 30 นาที แล้วสระออก เพื่อให้ผมชุ่มชื้นและมีน้ำหนัก
- ลดผมแตกปลาย: ทาน้ำมันอะโวคาโดที่ปลายผม เพื่อลดผมแตกปลาย
- กระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผม: นวดน้ำมันอะโวคาโดบนหนังศีรษะ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและส่งเสริมการงอกใหม่ของเส้นผม
น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็นไม่ได้เป็นเพียงแค่น้ำมัน
แต่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีศักยภาพในการส่งเสริมสุขภาพโดยรวมอย่างแท้จริง ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นและประโยชน์ที่หลากหลาย น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็นจึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ใส่ใจสุขภาพและต้องการดูแลตัวเองอย่างครบวงจร
ดังนั้น หากคุณกำลังมองหาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจากธรรมชาติที่ช่วยดูแลสุขภาพและบำรุงความงามไปพร้อมๆ กัน น้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็นคือตัวเลือกที่คุณไม่ควรมองข้าม ลองพิจารณาเพิ่มน้ำมันอะโวคาโดสกัดเย็นเข้าไปในชีวิตประจำวันของคุณ แล้วคุณจะพบกับความเปลี่ยนแปลงที่ดีต่อสุขภาพอย่างแน่นอน
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
น้ำตบเภสัขจุฬา CUphar StemAktiv SOLUTION
1,290.00฿Original price was: 1,290.00฿.1,230.00฿Current price is: 1,230.00฿.ภูมิคุ้มกัน
KENKI MENANGI GUMMY วิตามินกัมมี่ สารสกัดจากเอลเดอร์เบอร์รี่
ระบบย่อยอาหาร
Tetrabiotics ProbioKhlear โปรไบโอติกส์เภสัชจุฬา
1,490.00฿Original price was: 1,490.00฿.1,450.00฿Current price is: 1,450.00฿.กระดูกและฟัน
Amfy Sesame Oil น้ำมันงาดำสกัดเย็น ดูแลข้อเข่า ความดัน